หัวปลี หรือ ปลีกล้วย คือส่วนที่เป็นดอกของต้นกล้วย ซึ่งจะคลี่กาบที่มีผลกล้วยซ่อนอยู่ภายในหลายๆ ผลรวมกัน เรียกว่า หวี มันจะเจริญงอกงามคลี่กาบหวีกล้วยออกไปเรื่อยๆ หลายๆ หวีรวมกัน เรียกว่าเครือ ในตอนท้ายๆ ของเครือ ดอกกล้วย มักจะหยุดการคลี่กาบและ จะไม่มีผลกล้วยออกมาแล้ว เจ้าของที่ดูแลเอาใจใส่ต้นกล้วยจะต้องตัดปลีกล้วยออกมา เพราะถ้าไม่ตัดออกปลีกล้วยส่วนนี้จะไปแย่งอาหารมาจากผลกล้วยเสียหมด

          หัวปลีที่ตัดออกมา อย่าทิ้งให้เสียของ สามารถนำมาทำเป็นผักและเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายอย่าง ที่คุ้นเคยกันดีถึงสรรพคุณของหัวปลี คือการนำไปแกงเลียงให้สตรีหลังคลอดรับประทาน ว่ากันว่าเป็นการช่วยเพิ่มน้ำนมของคุณแม่ให้มีมากขึ้น

          นอกจากการเพิ่มน้ำนม หัวปลียังมีคุณค่าทางโภชนาการ ประกอบด้วย ในน้ำหนัก 100 กรัม จะให้พลังงาน 26 กิโลแคลอรี แคลเซียม 37 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 52 มิลลิกรัม เหล็ก 1.0 มิลลิกรัม วิตามินเอ 283 IU วิตามิน บี 1 0.04 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.03 มิลลิกรัม ไนอาซิน 0.4 มิลลิกรัม และวิตามินซี 12 มิลลิกรัม

          อีกเมนูยอดนิยมคือนำหัวปลีไปเผาไฟ แล้วลอกกาบส่วนที่อ่อนๆ มาจิ้มน้ำพริก หรือนำไปยำ หรือกินสดๆ แกล้มผัดไทย ขนมจีนน้ำพริก หรือนำไปทอดกรอบ ปรุงผสมทอดมัน ห่อหมก

          รวมถึงต้มยำกะทิหัวปลี เครื่องปรุง ไก่สด 1 ซีก หัวปลี 2 หัว กะทิ 1 ถ้วย หางกะทิ 2 ถ้วย ตะไคร้ 2 ต้น ใบมะกรูด 5 ใบ พริกขี้หนู 5 เม็ด และมะนาว 1 ลูก วิธีทำ ขั้นแรกล้างไก่ให้สะอาด สับเป็นชิ้นพอคำทั้งกระดูกและเนื้อไก่ ลอกกาบแดงของหัวปลีทิ้ง แล้ว ตัดออกเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเตรียมไว้ ขั้นที่สอง นำหางกะทิใส่หม้อเคี่ยวพอเดือด ใส่ไก่และเติมเกลือลงไปเล็กน้อย ขั้นที่สาม เคี่ยวไปจนกระทั่งไก่จวนเปื่อย จึงค่อยใส่หัวปลี หากน้ำกะทิเหลือน้อยไปก็เติมลงไปอีกได้ และขั้นตอนสุดท้ายเมื่อไก่และหัวปลีเปื่อยดีแล้ว ให้ฉีกใบมะกรูด บุบตะไคร้ที่ตัดเป็นท่อนๆ ใส่ลงไป ตามด้วยหัวกะทิ จากนั้นคนให้เข้ากันแล้วยกลง เวลารับประทานให้ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาวและพริกขี้หนู

          สรรพคุณต้มยำกะทิหัวปลี แยกได้ดังนี้ หัวปลีมีรสฝาดเย็น แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ โรคโลหิตจาง น้ำกะทิรสมันหวานบำรุงร่างกาย บำรุงเส้นเอ็น รักษาโรคกระดูก ใบมะกรูดรสปร่า กลิ่นหอมติดร้อน ดับกลิ่นคาว แก้โรคลักปิดลักเปิด ขับลมในลำไส้ ขับระดู และแก้ลม จุกเสียดด้วยพริกขี้หนูมีรสเผ็ดร้อน

 

 

          ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

http://www.thaihealth.or.th/