ดอกเตอร์ลิบบี้ วีเวอร์ นักชีวเคมีและโภชนาการ กล่าวว่า บริเวณของร่างกายที่มีแนวโน้มมี ไขมันพอกมากขึ้นอาจบอกเราได้ว่า ระบบอะไรในร่างกายที่ต้องการการดูแลให้มากขึ้น

          1. ไขมันหน้าท้อง

          สิ่งนี้มักเป็นผลมาจากฮอร์โมนความเครียดคอร์ติซอล "พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ กำหนดตารางบริหารการหายใจทุกวัน

          พวกเราจำนวนมากคุ้นเคยกับการหายใจตื้นๆ จากหน้าอก ซึ่งเป็นการทำให้ร่างกายคอยอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า "ตื่นตัวกับความเครียด" อยู่ตลอดเวลาแทนที่จะหายใจลึกๆ โดยใช้กระบังลม เมื่อหายใจผ่านจมูก หน้าท้องจะยกตัวขึ้น บอกกับร่างกายว่าทุกอย่างอยู่ในความสงบและไม่จำเป็นต้องเตรียมรับความเครียด ความต้องการคอร์ติซอลจึงลดลงไปและการลดการบริโภคแคลอรี่ลงอย่างมากนับเป็นหายนะในการลดไขมัน เพราะทำให้ร่างกายตกอยู่ในความเครียดจากการขาดอาหาร

          2. ไขมันตามแนวยกทรง

          ก้อนไขมันสะสมใต้แนวยกทรง (หรือใต้กล้ามเนื้อใหญ่หน้าอกในผู้ชาย) แปลว่าตับต้องการการดูแลให้ดีขึ้น แอลกอฮอล์และอาหารที่ผ่านกระบวนการทำให้ตับต้องทำงานหนักมากขึ้น ต้องไปทำงานขจัดพิษจากแอลกอฮอล์ อาหารก็จะถูกส่งไปเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน

          "ลดการบริโภคแอลกอฮอล์, อาหารที่ผ่านกระบวนการผลิต และสารพิษอื่นๆ และรับประทานสมุนไพรที่ช่วยการทำงานของตับก็มีประโยชน์สำหรับคนที่มีไขมันในลักษณะเช่นนี้

          3. ไขมันข้างลำตัวส่วนล่าง

          สะโพกและขาอ่อนมักจะเกิดการสะสมไขมันในสตรี อาจเป็นสัญญาณบอกว่ามีระดับโปรเจสเตอโรนค่อนข้างต่ำ ฮอร์โมนนี้มีคุณสมบัติต่อต้านอาการวิตกกังวล อาการซึมเศร้า และช่วยขับปัสสาวะแล้ว ยังจำเป็นในการเผาผลาญไขมันในร่างกายให้เป็นพลังงานด้วย

          ร่างกายสามารถสร้างโปรเจสเตอโรนได้ตามธรรมชาติเมื่อรู้สึกว่าปลอดภัยและสงบ ในช่วงที่มีความเครียดจะต้องมีกรดไขมันจำเป็นอยู่ในอาหารที่คุณรับประทาน ต่อสู้กับความเครียด ทั้งสะโพกและขาอ่อนเป็นตำแหน่งที่มีแนวโน้มที่จะมีไขมันมาพอก หากคุณใช้เวลาส่วนมากในชีวิตนั่งอยู่ในรถยนต์, โต๊ะทำงาน ระบบน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่ขับสารพิษที่เป็นไขมันออกไปจะทำงานช้าลง

          เพื่อให้ระบบน้ำเหลืองทำงานมากขึ้น ควรใช้แปรงถูนวดที่ร่างกายเป็นเวลาห้านาทีก่อนอาบน้ำ ให้เริ่มแปรงจากข้อเท้า แปรงขึ้นมาตามขาทั้งสองข้างด้วยการแปรงตามแนวสั้นๆ กดให้มั่งคง แล้วแปรงจากแขน, หลัง, ไหล่ และหน้าท้อง แปรงไล่เข้าหาตำแหน่งหัวใจ (ก่อนใช้บริการและเลือกอาหารในวันต่อไป)

 

 

          ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

http://www.thaihealth.or.th/