แนะผู้บริโภคใส่ใจดูฉลากบนบรรจุภัณฑ์ และวัสดุที่ทำมาจากพลาสติก

 

ความปลอดภัยของบรรจุภัณฑ์อาหาร ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าของ ผู้บริโภคอยู่เสมอ เพราะนอกจากจะต้องคำนึงถึงรสชาติ สีสัน และความสดสะอาดของอาหารแล้ว ยังจะต้องใส่ใจในเรื่องของบรรจุภัณฑ์ที่ให้ความแข็งแรง ทนทาน และไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคอีกด้วย โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นหรือแช่แข็ง ที่หลายคนยังคงไม่มั่นใจในการเลือกบริโภค เพราะสงสัยในเรื่องความปลอดภัยของภาชนะที่บรรจ ซึ่งส่วนใหญ่ทำมาจากพลาสติก แล้วเมื่อนำไปอุ่นก่อนรับประทาน กลัวว่าจะได้รับอันตรายที่เกิดจากสารเคมีและสารปนเปื้อนที่เข้าไปในอาหาร

          เพื่อความสบายใจของผู้บริโภค เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าว่า พลาสติกโดยทั่วไปที่ใช้บรรจุอาหาร แบ่งได้เป็น 7 ประเภทใหญ่ๆ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่น ทนความร้อนสูง ทนความเย็นจัด ทนกรดด่างได้ดี เป็นต้น

          สำหรับอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งที่มักจะเลือกทานกันเป็นประจำ ในร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน ส่วนใหญ่จะใช้วัสดุที่ทำมาจากพลาสติกชนิด Polypropylene หรือที่เรียกกันว่า PP ซึ่งเป็นพลาสติกในกลุ่มที่มีคุณสมบัติทนความร้อนสามารถเข้าไมโครเวฟได้ ป้องกันการผ่านของความชื้นได้ดี และสามารถใช้บรรจุหรือสัมผัสอาหารได้โดยตรง โดยไม่มีสารเคมีออกมาปนเปื้อนกับอาหาร เหมาะใช้เป็นภาชนะบรรจุอาหารได้อย่างปลอดภัย

          แต่อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจไป เพราะยังจะต้อง ควรระมัดระวังบรรจุภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปบางประเภทที่อาจผลิตจากพลาสติกประเภทอื่นๆ ที่มีจุดหลอมเหลวต่ำไม่สามารถทน ความร้อนได้สูงมากนัก ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยทุกครั้งก่อนที่เราจะนำอาหารเข้าไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ ควรตรวจสอบว่าภาชนะที่ใช้บรรจุนั้น สามารถทนความร้อนได้หรือไม่ โดยปกติแล้วสามารถสังเกตได้จากภาชนะที่บรรจุภัณฑ์นั้นๆ จะมีคำว่า "Microwave Safe" หรือ "Microwaveable" เป็นต้น นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการอุ่นบนฉลาก เช่น การเจาะรูบนแผ่นพลาสติกด้านบนถาดบรรจุอาหาร หรือการเปิดฝาขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ไอน้ำระเหยได้ง่าย และเป็นการป้องกันการพองตัวและการระเบิดของอาหาร รวมถึงปรับระยะเวลาการอุ่นอาหารให้เหมาะสมด้วย

          จากความสะดวก รวดเร็ว และหาทานง่ายของอาหารสำเร็จรูปเหล่านี้ อย่ามัวแต่เลือกซื้อเพลินจนลืมใส่ใจบรรจุภัณฑ์ ให้ฉลาดเลือก ฉลาดใช้สักนิด จะได้ทานอาหารอย่างสบายใจ

 

 

         ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

         ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

http://www.thaihealth.or.th/